• สิทธิมนุษยชน_ความหวัง
    พิพิธภัณฑ์สหภาพสิทธิมนุษยชน
    ระหว่างประเทศ สาขาเอเชียแปซิฟิก
    เพื่อส่งเสริมความเข้าใจและเคารพสิทธิมนุษยชนในเอเชีย โดยผ่านการดำเนินการของพิพิธภัณฑ์.
    เข้าร่วมเป็นสมาชิก submit
  • สิทธิมนุษยชน_หน่วยความจำ
    พิพิธภัณฑ์สหภาพสิทธิมนุษยชน
    ระหว่างประเทศ สาขาเอเชียแปซิฟิก
    เพื่อส่งเสริมความเข้าใจและเคารพสิทธิมนุษยชนในเอเชีย โดยผ่านการดำเนินการของพิพิธภัณฑ์.
    เข้าร่วมเป็นสมาชิก submit
  • สิทธิมนุษยชน_Taiwan
    พิพิธภัณฑ์สหภาพสิทธิมนุษยชน
    ระหว่างประเทศ สาขาเอเชียแปซิฟิก
    เพื่อส่งเสริมความเข้าใจและเคารพสิทธิมนุษยชนในเอเชีย โดยผ่านการดำเนินการของพิพิธภัณฑ์.
    เข้าร่วมเป็นสมาชิก submit
  • สิทธิมนุษยชน_นิทรรศการ
    พิพิธภัณฑ์สหภาพสิทธิมนุษยชน
    ระหว่างประเทศ สาขาเอเชียแปซิฟิก
    เพื่อส่งเสริมความเข้าใจและเคารพสิทธิมนุษยชนในเอเชีย โดยผ่านการดำเนินการของพิพิธภัณฑ์.
    เข้าร่วมเป็นสมาชิก submit
  • สิทธิมนุษยชน_ความหวัง
เพื่อส่งเสริมความเข้าใจและเคารพสิทธิมนุษยชนในเอเชีย โดยผ่านการดำเนินการของพิพิธภัณฑ์.
:::

ข่าวสารกิจกรรม

ข่าวสารใหม่ล่าสุด
2022-11-28

เมื่อต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และในฐานะที่พิพิธภัณฑ์เสมือนสะพานแห่งการสื่อสารประเด็นที่เกี่ยวกับผู้คน จะสามารถทำอะไรได้บ้าง? สหพันธ์พิพิธภัณฑ์สิทธิมนุษยชนนานาชาติ สาขาเอเชียแปซิฟิก (Federation of International Human Rights Museums- Asia Pacific หรือ FIHRM-AP) เพื่อตอบรับกับหัวข้อ "พลังของพิพิธภัณฑ์" (The Power of Museums) ในงานประชุมสมาชิกสภาการพิพิธภัณฑ์ระหว่างชาติ (ICOM) ณ กรุงปรากในปีนี้ ได้ต่อยอดรูปแบบการเรียนรู้ร่วมกันด้านสิทธิมนุษยชนผู้ย้ายถิ่นในปี 2020 สำหรับครั้งนี้ FIHRM-AP ได้จัดกิจกรรมการเรียนรู้ร่วมกันในธีม “การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและประเด็นด้านสิทธิมนุษยชน" โดยใช้วิธีการอภิปรายทุกเดือน การศึกษาดูงานในสถานที่จริง และงานประชุมเชิงปฏิบัติการสื่อสารอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลา5เดือน นอกจากนี้ FIHRM-AP ยังได้เชิญองค์กรพัฒนาเอกชน 12 แห่งและพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ 9 แห่งร่วมกิจกรรมดังกล่าว ทั้งสองฝ่ายร่วมดำเนินการเพื่อประเด็นด้านสภาพภูมิอากาศและสิทธิมนุษยชน FIHRM-AP ทบทวนความเหมือนและความต่างระหว่างองค์กรพัฒนาเอกชนและพิพิธภัณฑ์ โดยวัตถุประสงค์ของกิจกรรมนี้คือส่งเสริมการแลกเปลี่ยนระหว่างการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและประเด็นด้านสิทธิมนุษยชน ใช้ประโยชน์จากทั้งสองหน่วยงานในการผลักดันและคิดค้นแผนปฏิบัติการอีกขั้นหนึ่งสำหรับประเด็นสภาพภูมิอากาศและประเด็นด้านสิทธิมนุษยชน การเรียนรู้ร่วมกันครั้งแรกของกิจกรรมนี้ คุณเฉินซือถิง นักวิจัยสมาคมสหพันธ์เพื่อปฏิบัติการพลเมืองสีเขียว (Green Citizen Action Alliance Association) ได้ถูกรับเชิญให้มาอธิบายประเด็นด้านสภาพภูมิอากาศ จะเห็นได้ว่า กลุ่มพลเมืองมีข้อได้เปรียบเชิงปฏิบัติการในการริเริ่มและสนับสนุนประเด็นด้านสภาพภูมิอากาศ เช่น การผลักดันนโยบาย การแถลงข่าว การอบรมครูผู้ฝึก ฯลฯ นอกจากนี้พิพิธภัณฑ์ฯ ยังได้เชิญคุณหวงซวี่เจ๋อ นักผู้ช่วยวิจัย จากพิพิธภัณฑ์ธ์วิทยาศาสตร์และธรรมชาติแห่งชาติ (National Museum of Natural Science) มากล่าวถึงกลยุทธ์การจัดนิทรรศการสภาพภูมิอากาศขึ้นเป็นตัวอย่างในหัวข้อ “นิทรรศการภาพถ่ายเมื่อลมใต้พัดผ่าน เรื่องเล่าแห่งหมู่บ้านไถซี” (When the South Wind Blows—The Documentary Photography of Taixi Village) เพื่ออธิบายว่าพิพิธภัณฑ์ดำเนินการ อภิปรายและวิจัยเรื่องสภาพอากาศอย่างไร พร้อมนำเสนอวิธีคิดและการอ้างอิงในนิทรรศการที่ครบถ้วนสมบูรณ์ และใช้ช่วงอภิปรายในที่ประชุมเชิงปฏิบัติการ เพื่ออภิปรายและแบ่งปันความแตกต่างและจินตนาการระหว่างพิพิธภัณฑ์และองค์กรพัฒนาเอกชน เพื่อพิจารณาความเป็นไปได้ที่ทั้งสองฝ่ายจะร่วมมือกันดำเนินการในประเด็นร่วม ละครเวทีหนึ่งเรื่องสำหรับหนึ่งคน ผสมผสานรูปแบบการสื่อสารและมุมมองที่แตกต่างเข้าด้วยกัน นอกจากนี้ มีวิธีอื่นในการสื่อสารเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศนอกจากข้อริเริ่มขององค์กรพัฒนาเอกชนและประเภทนิทรรศการของพิพิธภัณฑ์หรือไม่? FIHRM-AP เชิญ “โรงละครโนอิง” (Knowing Theatre) ใช้การแสดงสดในการช่วยกระตุ้นให้ผู้เข้าร่วมเกิดการอภิปราย และสื่อสารผ่านการแสดงเพื่อถ่ายทอดความคิดและการโต้ตอบที่หลากหลายมากขึ้น อันดับแรก เขาได้เชิญผู้เข้าร่วมมาแชร์ประเด็นเกี่ยวกับปัญหาสภาพภูมิอากาศ โดยใช้การแสดงสอดแทรกเพื่อชวนให้คิดเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของภูมิอากาศกับชีวิตประจำวันของผู้คน ใช้การแสดงในการโต้ตอบกับผู้ชม ช่วงท้าย คุณเกาอวี๋เจิน ผู้อำนวยการโรงละคร และคุณเฉินเจิ้งอี อาจารย์สอนละคร ได้มาแบ่งปันตัวอย่างของการออกแบบแผนการเรียนการสอนในชุมชนและโรงเรียน โดยวิธี “การแสดง”สร้างมุมมองและพื้นที่การสื่อสารใหม่ๆ ของพิพิธภัณฑ์กับองค์กรพัฒนาเอกชนที่มีผลต่อผู้ชมหรือผู้ร่วมประเด็น

2022-11-28

เมื่อวันที่ 28 สิงหาคมที่ผ่านมา งานประชุมสมาชิกสภาการพิพิธภัณฑ์ระหว่างชาติ (International Council of Museums- ICOM) ในปีนี้ ณ กรุงปราก สาธารณรัฐเช็ก สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี เนื่องจากโรคโควิด-19 แพร่ระบาดทั่วโลก หลังจากรอคอยมาเกือบสามปี งานประชุมครั้งที่ 28 นี้ใช้ “พลังของพิพิธภัณฑ์” เป็นหัวข้อ โดยที่ประเด็นที่ถกเถียงถึงนั้นล้วนเป็นประเด็นใหม่สำหรับวงการพิพิธภัณฑ์และสังคมโดยรวม บนเวทีหลักมีหัวข้อที่สอดคล้องกัน 4 ประการ: "พันธกิจ: พิพิธภัณฑ์และภาคประชาสังคม", “ความยั่งยืน: พิพิธภัณฑ์และความเข้มแข็ง”, “วิสัยทัศน์: พิพิธภัณฑ์และความเป็นผู้นำ”, “ความสำเร็จ: พิพิธภัณฑ์และเทคโนโลยีใหม่" เป้าหมายคือนอกเหนือจากกิจกรรมทางวัฒนธรรม พิพิธภัณฑ์ในฐานะชุมชนรูปแบบหนึ่งจะมีส่วนร่วมในการถงเถียงด้านอื่นอย่างลึกซึ้งและเต็มที่ได้อย่างไร ในฐานะหนึ่งในสมาชิกของชุมชนพิพิธภัณฑ์ พิพิธภัณฑ์สิทธิมนุษยชนแห่งชาติไต้หวันได้เข้าร่วมในการประชุมครั้งนี้เพื่อแนะนำวิธีการศึกษาเชิงปฏิสัมพันธ์ที่จัดแสดงภายในพิพิธภัณฑ์นี้ เป็นผู้นำในการส่งเสริมความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับความยุติธรรมในการเปลี่ยนแปลง (Transitional Justice)  และให้ความสำคัญกับการพัฒนาของความยุติธรรมในการเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน ตลอดงานประชุมทั้ง 3 วัน หลังจากที่คณะกรรมการพิพิธภัณฑ์รำลึกเหยื่ออาชญากรรมสาธารณะระหว่างประเทศ (International Committee of Memorial Museums in Remembrance of the Victims of Public Crimes: ICMEMO) ได้อภิปรายเนื้อหาหัวข้อ คณะกรรมการนี้ยังได้กล่าวถึงประเด็นเร่งด่วนบางประการที่พึงใส่ใจอย่างยิ่งระหว่างประชุม พิพิธภัณฑ์และการมอบอำนาจแก่ตนเอง: การช่วยเหลือในยามสงคราม เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ กองกำลังทหารรัสเซียใช้กำลังบุกโจมตียูเครนตะวันออก คร่าชีวิตผู้คนนับหมื่น จากนั้นองค์กรด้านวัฒนธรรมของยูเครนก็ถูกโจมตีเช่นกัน หอจดหมายเหตุและสิ่งบันทึกตกอยู่ในสภาพย่ำแย่ คุณมาทะ ฮาฟูลี่ซือเคอ (Marta Havryschko) ผู้อำนวยการสถาบันบาบินยาร์สหวิทยาการศึกษา (Babyn Yar Interdisciplinary Studies) อพยพหนีจากยูเครนไปสวิตเซอร์แลนด์ เธอใช้ภาพกราฟแสดงจำนวนองค์กรด้านวัฒนธรรมที่ถูกทำลายหรือเสียหายช่วงสงคราม : พิพิธภัณฑ์ 36 แห่ง, สถาปัตยกรรมศาสนา 165 แห่ง และสถาปัตยกรรมประวัติศาสตร์ 219 แห่ง ทั้งนี้จำนวนดังกล่าวยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สงครามเปลี่ยนแปลงชีวิตและการดำรงชีวิตของผู้คน ทั้งได้เปลี่ยนวิธีการที่พิพิธภัณฑ์สนับสนุนชุมชน พิพิธภัณฑ์และองค์กรต่างๆ ของยูเครน เช่น ศูนย์อนุสรณ์การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์บาบินยาร์ (Babyn Yar Holocaust Memorial Center) เริ่มเป็นศูนย์พักพิงและแบ่งปันอาหารอุ่นๆ และงดจ่ายเงินเดือนเพื่อปกป้องสิทธิมนุษยชนในยูเครน นอกจากการให้ความช่วยเหลือพลเมืองแล้ว ศูนย์อนุสรณ์นี้ยังรวบรวมคำกล่าวหารัสเซียผ่านหน่วยงานยุติธรรมต่าง ๆ เช่น ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในกรุงเฮก และแปลงเอกสารของยูเครนให้เป็นไฟล์ดิจิทัล การแปลงข้อมูลให้เป็นไฟล์ดิจิทัลกลายเป็นหนึ่งในภารกิจสำคัญที่สุดของพิพิธภัณฑ์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในศตวรรษที่ 21 โดยเฉพาะในยามสงคราม ถึงแม้ว่าสถานการณ์ในยูเครนจะยากลำบากจนมิอาจจินตนาการได้ แต่คุณฮาฟ์รีจโคก็ได้เป็นแบบอย่างให้เห็นว่าในช่วงเวลายากเย็นแสนเข็นเยี่ยงนี้ พิพิธภัณฑ์และองค์กรด้านวัฒนธรรมของยูเครนยังแสดงให้เห็นศักยภาพของพิพิธภัณฑ์ที่สามารถเป็นมากกว่าพื้นที่แห่งการเรียนรู้ พิพิธภัณฑ์และโฆษณาชวนเชื่อทางการเมือง: การปลูกฝังแนวคิดทางการเมืองในพื้นที่ที่ดูเหมือนจะเป็นกลาง พิพิธภัณฑ์ในฐานะที่เป็นตัวเก็บรวมวัฒนธรรมและความรู้ มีหน้าที่ถ่ายทอดเหตุการณ์ปัจจุบันหรือเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ สื่อสารข้อมูลที่เป็นกลาง ข้อมูลต่างๆ ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบวัตถุสิ่งของหรือข้อความตัวอักษร จะปรากฏแนวคิดเกี่ยวกับเรื่องราวและประสบการณ์ของปัจเจกบุคคล งานวิจัยหลายชิ้นชี้ให้เห็นว่าการที่พิพิธภัณฑ์จัดนิทรรศการหรือตัวพิพิธภัณฑ์เองยากที่จะมีความเป็นกลาง ด้วยวิธีการและการจัดแสดงมีมุมมองการบอกเล่าที่เฉพาะเจาะจง ศาสตราจารย์ปาเวล มาโชวิคซ์[1] (Pawel Machcewicz) ยกตัวอย่างประสบการณ์ของเขาในการสร้างพิพิธภัณฑ์สงครามโลกสองครั้งในเมืองกดัญสก์ (Gdańsk)ประเทศโปแลนด์ อธิบายให้เห็นว่าฝ่ายขวาในประเทศดังกล่าวมีอิทธิพลต่อแนวทางของพิพิธภัณฑ์อย่างมาก ข้อมูลที่ไม่ถ่ายทอดความรักชาติเท่ากับเป็นการทรยศต่อประเทศชาติ เป็นผลให้การก่อสร้างพิพิธภัณฑ์ชะงักงัน และต้องเผชิญกับอุปสรรคที่ไม่เคยมีมาก่อน การสร้างองค์กรทางวัฒนธรรมด้วยทรัพยากรรัฐมีความเสี่ยงด้านการเล่าเรื่องจากมุมเดียว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงกรณีองค์กรด้านวัฒนธรรมที่สร้างขึ้นภายใต้ระบอบเผด็จการ ในทำนองเดียวกันคุณว่อทะฉี จินฉี (Voytech Kynci) จากสถาบันวิทยาศาสตร์สาธารณรัฐเช็กเตือนว่าอย่าลืมประสบการณ์การที่ทำให้สาธารณรัฐเช็กเป็นสหภาพโซเวียต  พร้อมเน้นย้ำความลำบากที่สำคัญในอดีต ในบริบทที่คล้ายคลึงกัน คุณบาบารา ธีม (Babara Thimm) จากโตสะแลง (S21) กัมพูชากล่าวว่าเมื่อมีคนที่ตั้งคำถามเกี่ยวกับงานของพวกเขา วิธีการตอบที่ดีคือการใช้ข้อเท็จจริงนำ ให้หลักฐานบอกเล่าตัวมันเอง S21 เดิมเป็นเรือนจำยุคเขมรแดง ปัจจุบันกลายเป็นพิพิธภัณฑ์บันทึกการถูกผู้กดขี่ทำร้ายและทรมาน คุณกีนดี ปาวอน[2]  (Geandy Pavón) ศิลปินชาวคิวบาและผู้ลี้ภัยไปยังสหรัฐอเมริกา เตือนให้สาธารณชนทราบว่าอย่าเชื่อทุกอย่างที่สถาบันภายใต้ระบอบเผด็จการกล่าวไว้ พิพิธภัณฑ์และการสนทนา: การแลกเปลี่ยนที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง สู่อนาคตที่ดีกว่า พิพิธภัณฑ์ในศตวรรษที่ 21 เป็นพื้นที่สาธารณะ แม้ว่าบางคนยังคงมองว่า พิพิธภัณฑ์เป็นพื้นที่สำหรับชนชั้นทรงคุณวุฒิ แต่มีนักการศึกษาจำนวนมากเริ่มนำวิธีการปฏิสัมพันธ์และวิธีการจากล่างสู่บนมาใช้ในพิพิธภัณฑ์ รับฟังเสียงภายนอกพิพิธภัณฑ์ พิพิธภัณฑ์ต้องการมีปฏิสัมพันธ์สาธารณชน ไม่เพียงแต่การนำเข้าเรื่องเล่าของพลเมืองให้มากขึ้นเท่านั้น แต่ยังต้องดึงเอาบริบทเกี่ยวกับยุคสมัย, เหตุการณ์ประวัติศาสตร์และชีวิตประจำวันของผู้คนในสังคมด้วย ไอดา เร็กนา (Aeda Rechna) และอัลมูเดนา ครูซ เยบา (Almudena Cruz Yeba) ผู้ทำงานพิพิธภัณฑ์ในโปรตุเกสและสเปน นำเสนอเรื่องราวที่แตกต่างจากตำราเรียน ทั้งคู่เน้นย้ำความสำคัญของการจัดการประวัติศาสตร์ที่มีความยากลำบาก พร้อมเชิญชวนให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการสร้างพร้อมรื้อฟื้นความทรงจำและเหตุการณ์ ประกอบการค้นพบมรดกทางวัฒนธรรมของตนอีกครั้ง เพื่อสร้างสะพานเชื่อมระหว่างสิ่งที่ไม่เป็นที่รู้จักกับสิ่งที่ไม่เคยถูกเอ่ยถึง วาทกรรมบทสนทนาได้กลายเป็นเครื่องมือที่มีค่าที่สุด ในคำปราศรัยเกี่ยวกับพิพิธภัณฑ์และภาคประชาสังคม คุณมาร์การิต้า เรเยส ซัวเรซ (Margarita Reyes Suárez) นักมานุษยวิทยาและนักพิพิธภัณฑ์วิทยาได้เน้นย้ำให้ทุกคนตระหนักว่าภายใต้กระแสการท่องเที่ยว พิพิธภัณฑ์จะมีความเป็นวัตถุนิยมและความเป็นอเมริกามากขึ้น มรดกทางวัฒนธรรมจำเป็นต้องใช้วิธีการอนุรักษ์ในรูปแบบต่างๆ มากกว่าเพียงแค่ให้มีเงินทุนไหลเข้า คุณซัวเรซอธิบายอย่างกระตือรือร้นเกี่ยวกับการฟื้นฟูพิพิธภัณฑ์เป็นความรับผิดชอบต่อชุมชน เธอยังเน้นย้ำการปลดปล่อยอาณานิคมผ่านมุมมองของตะวันตก การให้พื้นที่แก่ความหลากหลายทางวัฒนธรรมมากขึ้น “พิพิธภัณฑ์ควรเป็นพื้นที่ที่รับฟัง และเป็นพื้นที่ที่เสียงในใจของผู้คนถูกรับฟัง” เธอกล่าวสรุป ภายใต้แนวคิดเดียวกัน คุณลาดิลเลย์ แจ็คสัน (Ladislav Jackson) ได้ไขปริศนาการดำรงอยู่ของเพศ ทางเลือกในอดีตของเช็ก  โดยเรียกร้องให้พิพิธภัณฑ์ละทิ้งการครอบงำของกรอบความคิดเพศทวิลักษณ์ ดำเนินการอย่างระมัดระวังแต่มีความก้าวหน้าทางความคิด มองเห็นสิทธิในการมีชีวิตและสิทธิถูกจดจำของเควียร์ เช่นเดียวกับประวัติศาสตร์ส่วนอื่น ชีวิตและข้าวของของผู้ไม่มีความต้องการทางเพศกับเพศตรงข้ามควรถูกบันทึกและจัดทำเป็นเอกสาร ดังนั้นวงการพิพิธภัณฑ์ควรให้ความสนใจและใส่ใจผู้ปฏิบัติงานและนักวิจัยด้านพิพิธภัณฑ์ที่เป็นเควียร์มากขึ้น มีแต่เพียงพิพิธภัณฑ์ที่คนทั่วไปและชุมชนเข้าถึงเป็นช่องทางในการสื่อสาร ถึงจะสามารถทำให้ทุกคนมีสิทธิที่เท่าเทียมกันและมีการบันทึกข้อเท็จจริงไว้ได้ ตั้งแต่ห้องสมุดอเล็กซานเดรีย (Bibliotheca Alexandrina) การรวบรวมและการเรียนรู้ถือเป็นจุดเริ่มต้นและพันธกิจของพิพิธภัณฑ์มาโดยตลอด และสืบเนื่องตลอดการพัฒนาของพิพิธภัณฑ์ พิพิธภัณฑ์สมัยใหม่แบกรับภารกิจนี้ ก้าวไปข้างหน้าอย่างมีความหมายและครอบคลุมมากขึ้น เพื่อพลเมืองและผู้ใช้พื้นที่พิพิธภัณฑ์  ในระหว่างงานประชุม การร่วมพลังของสังคมเป็นสัญลักษณ์ของความแข็งแกร่ง ปัจจุบันพิพิธภัณฑ์สมัยใหม่ควรรวมตัวกันเป็นชุมชน การกระชับความสัมพันธ์ระหว่างคุณ,ฉัน และทุกคนมีความจำเป็นยิ่งขึ้นมากกว่าช่วงไหนๆ ที่ผ่านมา

2022-11-28

แนะนำผู้เขียน ณัฐพร ส่งสวัสดิ์ สำเร็จการศึกษาศิลปศาสตรบัณฑิต วิชาเอกภาษาอังกฤษ และวิชาโทวรรณคดีเปรียบเทียบ จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประเทศไทย ปัจจุบันเธอทำงานเป็นนักเขียนอิสระและผู้ช่วยวิจัยด้านสิทธิมนุษยชนของมูลนิธิผสานวัฒนธรรม เป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรในประเทศไทยที่มุ่งมั่นความยุติธรรมที่เท่าเทียมกันสำหรับทุกคนในประเทศ แนะนำหน่วยงาน: มูลนิธิผสานวัฒนธรรม มูลนิธิผสานวัฒนธรรม (CrCF) (มูลนิธิฯ) ก่อตั้งขึ้นปี พ.ศ. 2545 เป็นมูลนิธิไม่แสวงหาผลกำไรที่มีสำนักงานใหญ๋ในประเทศไทย มูลนิธิฯ มุ่งสร้างความยุติธรรมที่เท่าเทียมกันสำหรับทุนคนในประเทศไทย พร้อมทำงานอย่างใกล้ชิดกับเครือข่ายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ ช่วยให้ชนเผ่าพื้นเมืองและชนกลุ่มน้อยสามารถอยู่ร่วมในสังคมและเสริมสร้างอำนาจให้พวกเขา ขอบเขตภารกิจเฉพาะของ CrCF ดังนี้: ติดตามและตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน, สนับสนุนการส่งเสริมวิสัยทัศน์แห่งความยุติธรรม กล่าวคือ การเสริมอํานาจแก่ประชาชน ช่วยให้ประชาชนเข้าใจและใช้สิทธิของตน, ป้องกันการทรมาน, ปกป้องสิทธิมนุษยชนด้วยกลยุทธ์ทางกฎหมาย ให้ความช่วยเหลือด้านกฎหมายแก่ชนกลุ่มน้อยที่อยู่จังหวัดบริเวณชายแดนไทยอย่างเป็นรูปธรรม "ไม่ว่าพวกเราจะกรีดร้องดังแค่ไหน พวกเขาก็ไม่ได้ยิน" ข้อความนี้เป็นหนึ่งในข้อความที่เขียนบนผืนผ้าใบทรงว่าว เพื่อทำให้เสียงจากภาคใต้ของประเทศไทยสามารถไปถึงภูมิภาคอื่นได้อย่างแท้จริง ผืนผ้าใบนี้เป็นหนึ่งในงานศิลปะแบบอินเทอร์แอคทีฟที่จัดแสดงในนิทรรศการ“จมหาย” (Submerged).  “จมหาย” (Submerged) เป็นนิทรรศการศิลปะในจังหวัดปัตตานี ( Patani) ประเทศไทยที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 10-13 มิถุนายน 2022 มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้นภาคใต้ของประเทศไทยและปลุกจิตสำนึกของผู้คน

งานวิจัย
2022-11-28

แนะนำผู้เขียน 【ทาดะยูกิ โคมาอิ  (Tadayuki Komai) 】 เกิดปี 1972 ในเมืองโกเซะ จังหวัดนารา ประเทศญี่ปุ่น ตั้งแต่ปี 1998 เขาก็เป็นภัณฑารักษ์ตอนขณะที่พิพิธภัณฑ์ฯ พึ่งเปิด และในปี 2015 ได้เป็นผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์ฯ เขาทำให้แนวคิดการก่อตั้งสมาคมเซนโกกุซุยเฮฉะเผยแพร่ไปทั่วโลกผ่านกิจกรรมสหพันธ์พิพิธภัณฑ์สิทธิมนุษยชนนานาชาติและ”มรดกความทรงจำของโลก” เขาเป็นอาจารย์สอนเรื่องว่าด้วยสิทธิมนุษยชนในสถาบันสตรีโกเบ และเป็นผู้ร่วมประพันธ์หนังสือ: “ที่มาของสมาคมเซนโกกุซุยเฮฉะ” ฉบับใหม่ (สำนักพิมพ์ Jiefang, 2022), “ความอบอุ่นและแสงสว่างของคำแถลงสมาคม เซนโกกุซุยเฮฉะ” (สำนักพิมพ์ Jiefang, 2012),“ปัญหาบุราคุสมัยใหม่” (“สัมมนาปัญหาบุราคุในญี่ปุ่นสมัยใหม่ 1 (หมายเหตุ 2)” สำนักพิมพ์ Jiefang, 2022) “พิพิธภัณฑ์สุ่ยผิงเซ่อ” (Suiheisha History Museum) พิพิธภัณฑ์สุ่ยผิงเซ่อ (พิพิธภัณฑ์ฯ) เปิดทำการ ณ คาชิฮาระ เมืองโกเซะ จังหวัดนารา เดือนพฤษภาคม 1998 ซึ่งเป็นสถานที่ก่อตั้งสมาคมเซนโกกุซุยเฮฉะโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อฟื้นฟูต่อยอดวัฒนธรรมสิทธิมนุษยชนและเผยแพร่แนวคิดสิทธิมนุษยชน เผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับปัญหาการเหยียดและสิทธิมนุษยชน เดือนกันยายน 2015 พิพิธภัณฑ์ฯ เข้าร่วมการประชุม FIHRM( สหพันธ์พิพิธภัณฑ์สิทธิมนุษยชนนานาชาติ) เป็นครั้งแรกที่เมืองเวลลิงตัน ประเทศนิวซีแลนด์ และเดือนธันวาคมในปีนั้นได้กลายเป็นองค์กรญี่ปุ่นแห่งแรกที่เข้าร่วม FIHRM จากนั้นพิพิธภัณฑ์ฯ จะผลักดันกิจกรรมต่างๆ เพื่อแบ่งปันการ “แสวงหาศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และสันติภาพ” กับทั่วโลก  ซึ่งเป็นปรัชญาการก่อตั้งสมาคม เดือนพฤษภาคม 2016 ในที่ประชุม ICOM (สมัชชาสภาการพิพิธภัณฑ์ระหว่างชาติ) กับการประชุมสหพันธ์พิพิธภัณฑ์สิทธิมนุษยชนนานาชาติ (FIHRM) ณ เมืองโรซาริโอ (อาร์เจนตินา) สมาคมเซนโกกุซุยเฮฉะได้แนะนำ “สมาคมเซนโกกุซุยเฮฉะและฮยองพยองซา-บันทึกข้ามพรมแดนของผู้ที่ถูกรังเกียจ(ข้อมูลทางประวัติศาสตร์ 5 ประเด็นที่พิพิธภัณฑ์ฯ รวบรวมไว้นั้น)  บันทึกดังกล่าวถูกขึ้นทะเบียนเป็น “มรดกความทรงจำของโลก(Memory of the World)” แห่งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของยูเนสโก ตอนนี้ยังพยายามที่จะขอขึ้นทะเบียนในกลุ่มระหว่างประเทศ วันที่ 3 มีนาคม 2022 เนื่องในโอกาสครบรอบ 100 ปีแห่งการก่อตั้งก่อตั้ง สมาคมเซนโกกุซุยเฮฉะ  พิพิธภัณฑ์ฯ ได้เปิดให้เข้าชมอีกครั้ง คำนำ            เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 1922 ณ หอประชุมเมืองเมืองเกียวโต ได้จัดตั้งสมาคมเซนโกกุซุยเฮฉะขึ้น เพื่อมุ่งแสวงหาศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และความเสมอภาพ ผู้ก่อตั้งสมาคมเซนโกกุซุยเฮฉะเป็นคนหนุ่มสาวที่เกิดและโตที่เขตคาชิฮาระ เมืองโกเซะ จังหวัดนารา            การก่อตั้งสมาคมเซนโกกุซุยเฮฉะมีเป้าหมายเพื่อขจัดการเหยียดบุราคุ (ชนชั้นที่ถูกเหยียดในสังคมญี่งปุ่น), ส่งเสริมเสรีภาพและความเสมอภาพ, สร้างแนวคิดสิทธิมนุษยชน, เคลื่อนไหวเพื่อปลดปล่อยบุราคุ คนรุ่นก่อนที่ได้เข้าร่วมความเคลื่อนไหวสมาคมเซนโกกุซุยเฮฉะได้สานต่อจิตวิญญาณนี้ เพื่อให้กระบวนการต่อสู้ของพวกเขาเป็นที่รับรู้ของคนรุ่นหลัง เดือนพฤษภาคม 1998 เงินทุนสนับสนุนจากทั่วประเทศได้สถาปนาพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ซุยเฮฉะขึ้นมา ณ คาชิวาบาระซึ่งเป็นสถานที่ก่อตั้งสมาคมเซนโกกุซุยเฮฉะ (เปลี่ยนชื่อเป็นพิพิธภัณฑ์สุ่ยผิงเซ่อในปี 1999) ปรัชญาการก่อตั้งก่อที่ทำให้เกิดความรู้สึกร่วมกัน         คำแถลงการก่อตั้งสมาคมเซนโกกุสมาคมเซนโกกุซุยเฮฉะเรียกร้องให้ “เคารพผู้อื่นเพื่อปลดปล่อยตนเอง” และส่งเสริม “ให้โลกมนุษย์มีความอบอุ่น มนุษย์มีความผ่องใส” เป็นคำแถลงสิทธิมนุษยชนฉบับแรกในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นและโลกที่เรียกร้องโดยผู้ถูกเหยียด ปรัชญาการก่อตั้งสมาคมเซนโกกุซุยเฮฉะคือการทำให้อัตลักษณ์(identity)จากทุกฐานะชนชั้นเป็นที่ยอมรับในสังคม, ร่วมสร้างสังคมที่ไร้การเหยียด สิ่งนี้ไม่เพียงแต่ได้รับการตอบรับจากบุราคุมิน(Burakumin) ทั้งทำให้ผู้คนเกิดความรู้สึกร่วม เป็นการสร้างแรงกระตุ้นและความกล้าหาญให้กับชาวเกาหลีในญี่ปุ่น, ชาวโอกินุ, ชาวไอนุและผู้ป่วยโรคเรื้อนที่เคลื่อนไหวเรียกร้องสิทธิมนุษยชนด้วยตนเอง กระทั่งส่งผลกระทบต่อ “ชาวแบกจอง(Pekuchon)”ที่ถูกเหยียดในเกาหลี เดือนเมษายนปี 1923 นำโดยชาวแบกจองเป็นหลักได้ก่อตั้งสมาคมฮยองพยองซา(Hyonpyonsa) ประวัติการสร้างพันธมิตรระหว่างสมาคมเซนโกกุซุยเฮฉะและสมาคมฮยองพยองซาเป็นบันทึกขั้นพื้นฐานของสิทธิมนุษยชน, เสรีภาพ, ความเสมอภาค, ภราดรภาพ และประชาธิปไตยตามหลักสากล ข้อมูลประวัติศาสตร์การสร้างพันธมิตรนี้ปรากฎให้เห็นที่“สมาคมเซนโกกุซุยเฮฉะและฮยองพยองซา-บันทึกข้ามพรมแดนของผู้ที่ถูกปฏิบัติต่างในปี 2016 ถูกขึ้นทะเบียนเป็น “มรดกความทรงจำของโลก” แห่งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของยูเนสโก นอกจากนี้และการก่อตั้งสมาคมเซนโกกุซุยเฮฉะยังเป็นที่จับตามองของสื่อต่างประเทศอีกด้วย เมื่อวันที่ 5 กันยายน 1923 นิตยสารเดอะเนชั่น (The Nation) ของอเมริกาตีพิมพ์คำแปลภาษาอังกฤษที่แนะนำคำแถลงสมาคมเซนโกกุซุยเฮฉะ อะไรคือการเหยียดบุราคุที่สมาคมเซนโกกุซุยเฮฉะต้องการขจัด สมาคมเซนโกกุซุยเฮฉะมีแนวคิดตามคำแถลงการก่อตั้ง เป้าหมายของสมาคมเซนโกกุซุยเฮฉะคือปลดปล่อยการเหยียดบุราคุที่ “บุราคุมิน”  (ผู้ที่มาจากชนชั้นที่ถูกเหยียดในสังคมญี่งปุ่น)  กลุ่มน้อยประสบอยู่ในสังคม ที่มาของการเหยียดบุราคุเกิดจากระบบชนชั้นในญี่ปุ่นก่อนยุคสมัยใหม่(pre-modern era) ชนชั้นที่ถูกเรียกว่า “เอตะ(穢多)”จะถูกสังคมดูแคลน อย่างไรก็ตาม แม้ว่าญี่ปุ่นสมัยใหม่ยกเลิกระบบชนชั้นทางกฎหมาย ชนชั้น “เอตะ(穢多)” ถูกยกเลิก ในปี 1871 แล้ว แต่ในสังคมเมืองสมัยใหม่(Civil Society) การเหยียดบุราคุมินที่เปลี่ยนชนชั้นใหม่แล้วกลายเป็นปัญหาสังคมดเฉพาะในสังคมญี่ปุ่น การเหยียดบุราคุถูกมองว่ามีความคล้ายคลึงกับการเหยียด “ผู้ที่แตะต้องไม่ได้(Untouchables)” “ผู้อยู่นอกวรรณะ(outcasts)”และ “ทลิต(Dalit)” (*ผู้ที่แตะต้องไม่ได้, ผู้อยู่นอกวรรณะและทลิตเป็นคำเรียกผู้ถูกเหยียดที่แตกต่าง แต่ไม่ได้หมายรวมถึงชาติพันธุ์ที่แตกต่างกัน) ตามระบบวรรณะในอินเดีย นอกจากนี้ มาตรา 14 รัฐธรรมนูญญี่ปุ่นที่ประกาศใช้เมื่อเดือนพฤศจิกายน 1946 ตีความว่าการเหยียดบุราคุเป็นการเหยียดที่เกี่ยวข้องกับ “ฐานะทางสังคมและภูมิหลังครอบครัว” ดังที่ปรากฎใน “อนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติในทุกรูปแบบ(ICERD)” ซึ่งสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติครั้งที่ 20 เห็นชอบเมื่อเดือนธันวาคม 1965 การเหยียดบุราคุมินถูกจัดให้อยู่ในกลุ่ม การเหยียด “ชั่วอายุคน(descent)” การขจัดการเหยียดไม่ว่าจะในประเทศหรือต่างประเทศ เป็นปัญหาสำคัญด้านสิทธิมนุษยชน ตั้งแต่ปี 1868 ญี่ปุ่นใช้ “การปฏิรูปเมจิ” (*1868เป็นจุดเริ่มต้น มิได้เกิดขึ้นในปีนี้อย่างเดียว) เป็นจุดเริ่มต้นของประเทศสมัยใหม่ อย่างไรก็ตาม การเหยียดชนชั้นก่อนยุคสมัยใหม่กลายเป็นกฎเกณฑ์ในการเหยียดรูปแบบใหม่ในสังคมยุคใหม่ (*การใช้คำประธานจะทำให้เข้าใจผิด การเหยียดมิได้เกิดจาก “การจัดการ” แต่มันเกิดขึ้นเองขณะที่กฎเกณฑ์ทางสังคมเกิดขึ้นใหม่) แต่สังคมสมัยใหม่ยังคงมีการเหยียดบุราคุมินอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะราวปี 1900 การเหยียดบุราคุรุนแรงขึ้นอย่างมาก รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงได้เริ่มใช้นโยบายจากบนสู่ล่างปรับเปลี่ยนบุราคุเพื่อแก้ไขปัญหาการเหยียดบุราคุมิน และช่วยให้บุราคุมินและผู้ที่มิใช่บุราคุมินอยู่ร่วมกันได้ แต่บุราคุมินยังไม่พอใจเพียงแค่นี้ หลังจากสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ทุกภาคส่วนเริ่มเคลื่อนไหวเพื่อแสวงหาเสรีภาพ, ความเสมอภาคและภราดรภาพ โดยหวังว่าการปลดปล่อยบุราคุมินจะเกิดขึ้นจริง ผู้ผลักดันให้เกิดการปลดปล่อยบุราคุก็คือสมาคมเซนโกกุซุยเฮฉะ เป้าหมายคือทำให้ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เกิดขึ้นจริง            แม้ว่าหลังปี 1942 สมาคมเซนโกกุซุยเฮฉะจะไม่มีสถานะทางกฎหมายแล้ว แต่ปรัชญาการก่อตั้งสมาคมเซนโกกุซุยเฮฉะที่มุ่งแสวงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และความเท่าเทียมกันยังคงสืบทอดต่อไป การเคลื่อนไหวเพื่อปลดปล่อยบุราคุยังคงดำเนินการต่อเนื่อง                      ในปี 1948 “ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน”ที่สหประชาชาติได้ผ่านนั้นได้วางหลักการสิทธิมนุษยชน ในปี 1995 เริ่มผลักดัน “ทศวรรษสหประชาชาติเพื่อการศึกษาด้านสิทธิมนุษยชน” ในปี 2005 สหประชาชาติริเริ่ม “การทำให้สิทธิมนุษยชนเป็นกระแสหลัก” ทั้งหมดนี้ก่อให้เกิดผลกระทบมากเลยทีเดียว ทำให้กระแสสิทธิมนุษยชนเป็นความเห็นร่วมของประชาคมโลก และในปี 2015 การประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน  สมาชิกทุกคนลงมติเป็นเอกฉันท์ผ่านเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนSDGs เพื่อสร้างโลกที่ไม่มีคนถูกกีดกัน(leave no one behind) มีเป้าหมายให้คนทุกคนบนโลกใบนี้สามารถกินดีอยู่ดีใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในอนาคต  เพื่อสร้างสังคมที่ยั่งยืน เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนมีสิทธิมนุษยชนเป็นคำสำคัญ พร้อมได้กำหนดเป้าหมาย 17 ประการและโครงการชี้วัด 169 นี่มีความสอดคล้องกับ “แนวความคิด” ของสมาคมเซนโกกุซุยเฮฉะที่มองว่า “รู้ถึงหลักการความเป็นมนุษย์และมีการมุ่งสู่ความเป็นมนุษย์ขั้นสูงสุดเป็นเป้าหมาย” ในฐานะเป็นพิพิธภัณฑ์ญี่ปุ่นแห่งแรกที่เข้าร่วมสหพันธ์พิพิธภัณฑ์สิทธิมนุษยชนนานาชาติ (FIHRM) พิพิธภัณฑ์ฯ ได้เผยแพร่แนวคิดการก่อตั้งสมาคมเซนโกกุซุยเฮฉะไปทั่วโลก โดยผ่าน “มรดกความทรงจำของโลก” และกิจกรรมของFIHRM            พิพิธภัณฑ์ฯ ใช้นิทรรศการและการถ่ายทอดข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน เพื่อให้ได้มาซึ่งศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ กิจกรรมเหล่านี้ได้รับการสนับสนุนจากหลายองค์กร คาชิวาบาระซึ่งเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ฯ ในปี 1999 ได้มีการสถาปนาสมาคมเซนโกกุซุยเฮฉะท้องถิ่น โดยมีบุคคลจากองค์กรต่างๆ เป็นองค์ประกอบและมีคณะกรรมการปกครองตนเองเป็นแกนหลัก สมาคมเซนโกกุซุยเฮฉะท้องถิ่นได้ปรับภูมิทัศน์ในสวนสาธารณะใกล้เคียงกับพิพิธภัณฑ์ฯ ให้มีความเขียวขจี เพื่อต้อนรับผู้มาเยือนอย่างอบอุ่น นอกจากนี้ เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการจัดกิจกรรมต่างๆ ของพิพิธภัณฑ์ฯ และเพื่อเป็นการรักษาและพัฒนาพิพิธภัณฑ์ฯ กลุ่มบุคคลด้านการศึกษา, กีฬา, ศาสนา, ธุรกิจ, สหภาพแรงงาน ฯลฯ ในจังหวัดนาราได้ก่อตั้งคณะสบทบพิพิธภัณฑ์ฯ (*ประธานประโยคผิด)”สหพันธ์จังหวัดนาราพันธมิตรเพื่อปลดปล่อยบุราคุ” (สหพันธ์ฯ) ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มในเครือของคณะสบทบพิพิธภัณฑ์ฯ มีพื้นฐานมาจากจิตวิญญาณของสมาคมเซนโกกุซุยเฮฉะและสืบทอดการเคลื่อนไหวการปลดปล่อยบุราคุ ทุกปี สหพันธ์ฯ จะซื้อตั๋วเข้าชมพิพิธภัณฑ์ฯ  เพื่อเพิ่มยอดจำนวนคนเข้าชมพิพิธภัณฑ์ฯ นอกจากนี้ หนึ่งในกิจกรรมเนื่องในโอกาสครบรอบ 100 ปีแห่งการก่อตั้งสมาคมเซนโกกุซุยเฮฉะ ประกอบกับมีการปรับปรุงนิทรรศการพิพิธภัณฑ์ฯ สหพันธ์ฯ ได้ช่วยทบทวนเนื้อหานิทรรศการ พร้อมพิจารณาความคิดเห็นจากมุมมองต่างๆ เพื่อทำให้เนื้อหาของนิทรรศการมีความสมบูรณ์มากขึ้น สร้าง “ความประทับใจ” แก่ผู้เยี่ยมชมจำนวนมาก           นิทรรศการ“ปัจฉิมกถา(epilogue)”หลังการปรับปรุง นิทรรศการ ได้นำเสนอวลีอันจับใจของบุคคลที่มีชื่อเสียงและรวบรวม “คำพูดที่เป็นที่จดจำ”ของประชาชนทั่วไป บนผนังสีขาวใช้ตัวอักษรนูนคงที่จัดแสดงวลี “โลกมนุษย์ที่อบอุ่นกว่าเดิม” เป็นต้น ซึ่งเป็นคำพูดที่สมาคมเซนโกกุซุยเฮฉะเรียกร้อง (โปรดดูภาพประกอบด้านล่าง) นอกจากนี้ บนหน้าจอขนาดใหญ่ 5 จอที่ติดตั้งบนผนังได้โชว์ประโยคที่ผู้มาเยือนรู้สึกจับใจ” เปลี่ยนไปเรื่อยๆ  นิทรรศการได้รับขนานนามว่าเป็น “พิพิธภัณฑ์ศิลปะภาษา” จากนี้ไปจะเปิดรับ“คำพูดที่สร้างความประทับใจ” เช่นนี้ให้บุคคลทั่วไปนำเสนอได้ต่อเนื่อง โดยหวังว่าพื้นที่ที่ทุกคนสามารถมีส่วนร่วมนี้ จะเป็นพื้นที่ส่วนรวมสำหรับทุกคนในการแบ่งปันแนวคิด “การทำให้ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เกิดขึ้นจริง” สร้างโลกมนุษย์ให้อบอุ่นกว่าเดิม นับตั้งแต่ปี 1992 หลังการก่อตั้งสมาคมเซนโกกุซุยเฮฉะ การเคลื่อนไหวเพื่อขจัดการเหยียดบุราคุและการเสริมสร้างสิทธิมนุษยชนทั้งในและต่างประเทศได้ดำเนินการมาเป็นเวลา 100 ปีแล้ว อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาญี่ปุ่นในปัจจุบัน ชนกลุ่มน้อยที่ถูกเหยียดที่ก่อตั้งสมาคมเซนโกกุซุยเฮฉะยังคงถูกเหยียดเมื่อมีการแต่งงานหรือทำสัญญาเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ พูดได้ยากว่าได้ขจัดการเหยียดให้หมดสิ้นไปแล้ว นอกจากนี้ ขณะนี้ยังมีพฤติกรรมแย่ๆ เกิดขึ้น คนทั่วไปมีอคติพยายามหลีกเลี่ยงที่จะเกี่ยวข้องกับบุรา อคตินี้ถูกใช้ไปในทางที่ผิด เช่น การใช้ข้ออ้างว่าเข้าใจบุราคุมินไม่เพียงพอ เพื่อขายหนังสือราคาแพงลิ่ว ฯลฯ ทั้งหมดนี้ เป็นการอ้างปัญหาบุราคุมิเพื่อได้มาซึ่งผลประโยชน์ที่ไม่ชอบธรรม หรือขอให้คนอื่นเป็นทำสิ่งที่ไม่ใช่หน้าที่ของพวกเขา พฤติกรรมเหล่านี้เป็นเหตุทำให้เกิดอคติและความเข้าใจผิด จนกระทั่ง บนอินเทอร์เน็ตมีข้อความใส่ร้ายป้ายสีบุราคุมินอย่างไม่จบไม่สิ้น เป็นสาเหตุทำให้ปัญหาการเหยียดรุนแรงยิ่งกว่าเดิม ด้วยสถานการณ์เช่นนี้ ในปี 2016 ญี่ปุ่นจึงได้ปรับแก้ “กฎหมายว่าด้วยสิทธิมนุษยชน 3 ฉบับ” ประกอบด้วย “พระราชบัญญัติว่าด้วยผลักดันขจัดการเหยียดบุราคุ”, “พระราชบัญญัติว่าด้วยขจัดเหยียดคนพิการ” และ “พระราชบัญญัติว่าด้วยขจัดวาจาสร้างความเกลียดชัง” ในปี 2019 ได้มีการบังคับใช้กฎหมายว่าด้วย “มาตรการส่งเสริมชาวไอนุ” ในสภาพการเหยียดบุราคุในปัจจุบันและการเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวข้อง การปลดปล่อยบุราคุและความเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนได้เชื่อมโยงกันผ่านเครือข่ายชุมชนที่สร้างขึ้นในแต่ละพื้นที่ ยังมีความพยายามที่จะขจัดการเหยียดเป็นแกนหลัก โดยมีจังหวัดนาราเป็นฐานทัพอีกครั้ง เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวข้องสู่ภายนอก พิพิธภัณฑ์ฯ ร่วมมือกับความเคลื่อนไหวนี้ พร้อมรับบทเป็นฐานทัพในการเผยแพร่ข้อมูลด้านสิทธิมนุษยชน รับเอาความมุ่งมั่นที่จะได้มาซึ่งศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และจิดวิญญาณอันแน่วแน่ที่ไม่ยอมจำนงต่อการเหยียดของสมาคมเซนโกกุซุยเฮฉะ พร้อมฝากฝังความคิดนี้ส่งต่อสู่อนาคต หวังว่าเราจะมี“โลกมนุษย์ที่อบอุ่นกว่าเดิม”ตามที่สมาคมเซนโกกุซุยเฮฉะคาดหวังไว้ ร่วมทำให้อุดมการณ์ในการก่อตั้งสมาคมเซนโกกุซุยเฮฉะเกิดขึ้นจริง ร่วมสร้างสังคมที่โอบอ้อมอารี ให้ทุกคนมีชีวิตเป็นของตัวเอง ใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย เรามั่นใจว่าผู้เยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ฯ จะเห็นด้วยและมีความรู้สึกร่วมกับแนวนี้ของเรา “ขอให้โลกมนุษย์มีความอบอุ่น เมืองมนุษย์มีความผ่องใส”  

2022-11-28

คำนำ FIHRM มีวัตถุประสงค์ในการสถาปนาขึ้นเพื่อให้ผู้คนหันมาสนใจประเด็นสิทธิมนุษยชนมากขึ้น และสนับสนุนให้พิพิธภัณฑ์มีส่วนร่วมในประเด็นด้านประชาธิปไตยและความครอบคลุม  งานประชุม FIHRM ประจำปี 2022 จัดขึ้นเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ณ เมืองออสโล โดยมีเครือข่ายพิพิธภัณฑ์ประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนแห่งนอร์เวย์ (Demokratinetverket) เป็นเจ้าภาพจัดงาน ระยะเวลาประชุม 3 วัน ทั้งนี้ สถานที่จัดงานประชุมได้ถูกเลือกให้จัดที่พิพิธภัณฑ์รัฐธรรมนูญไอด์สโวลล์ 1814 (Eidsvoll 1814), ศูนย์สันติภาพโนเบล (Nobel Peace Center) และศูนย์การศึกษาความหายนะของชาวยิวและชนกลุ่มน้อยแห่งนอร์เวย์(The Norwegian Center for Holocaust and Minority Studies) จึงมีนัยยะสำคัญอย่างยิ่ง งานประชุมเริ่มด้วยการหารือว่าในพื้นที่ที่มีการกดขี่สิทธิมนุษยชนและแนวคิดคิดประชาธิปไตย จะใช้วิธีการคิดเชิงวิพากษ์วิจารณ์ถกเถียงการปกครองตนเองและความคล่องตัวของพิพิธภัณฑ์ได้อย่างไร ระหว่างพิพิธภัณฑ์ รัฐบาล และชุมชนควรมีความสัมพันธ์แบบใด มีแรงกดดันแบบไหนต่อการพัฒนา? พิพิธภัณฑ์สิทธิมนุษยชนจะกำหนดบทบาทของตนได้อย่างไร และจะมีปฏิสัมพันธ์กับประเด็นที่มีความขัดแย้งได้อย่างไร ส่วนที่สองแสดงถึงสถานการณ์ปัจจุบันของพิพิธภัณฑ์สิทธิมนุษยชนทั่วโลก แก้ไขปัญหาการเปิดกว้างหรือการกีดกันเชิงสังคม วัฒนธรรม และการเมืองจากมุมมองที่แตกต่างกัน เสนอแนวทางหรือกลยุทธ์ที่เปิดกว้างที่เป็นไปได้แก่พิพิธภัณฑ์สิทธิมนุษยชน ผู้เข้าร่วมประชุมมาจากยุโรป,เอเชียและสหรัฐอเมริกา คุณหงซื่อฟาง ประธาน FIHRM-AP และผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์สิทธิมนุษยชนแห่งชาติของไต้หวัน และ คุณเทนซิน ท็อปเดน (Tenzin Topdhen) ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์ทิเบตซึ่งเป็นสมาชิกสาขาภาคพื้นเอเชียแปซิฟิค ฯลฯ ต่างได้เข้าร่วมงานประชุมดังกล่าว พวกเขาแบ่งปันประสบการณ์และวิธีการมีส่วนร่วมในการปฏิบัติจริง  โดยหวังว่าจะสามารถแก้ไขหารือปัญหาความครอบคลุมในพื้นที่พิพิธภัณฑ์และสังคมโดยรวม โดยมีพิพิธภัณฑ์เป็นจุดเริ่มต้นของการมุ่งมั่นส่งเสริมและสร้างสังคมที่เท่าเทียมกัน พิพิธภัณฑ์ต้องเผชิญกับแรงกดดันและความท้าทายทั้งภายในและภายนอกในประเด็นด้านสิทธิมนุษยชน ทุกคนเท่าเทียมกันเป็นอุดมคติของจิตวิญญาณที่ขาดไม่ได้ในสังคม อย่างไรก็ตาม หนทางสู่ยูโทเปียยังคงเต็มไปด้วยอุปสรรค พิธีเปิดในวันแรก คุณแคทริน แปบส์ต (Kathrin Pabst) ประธานคณะกรรมการระหว่างประเทศว่าด้วยความขัดแย้งทางจริยธรรมแห่งสภาการพิพิธภัณฑ์ระหว่างชาติ (ICOM International Committee on Ethical Dilemmas : IC Ethics) และผู้จัดนิทรรศการอาวุโสของพิพิธภัณฑ์เวสท์-แอกเดอร์ (Vest-Agder Museum) ชี้ให้เห็นถึงความท้าทายที่พิพิธภัณฑ์สิทธิมนุษยชนอาจต้องเผชิญ พิพิธภัณฑ์มักจะต้องเผชิญหน้ากับแรงกดดัน 5 ประการคือความขัดแย้งระหว่างผู้ร่วมวงการ, ความพยายามลบล้างอดีต, การแทรกแซงทางการเมืองอย่างกะทันหัน, สงคราม, และความพยายามที่จะทำลายและปกป้องมรดกทางวัฒนธรรมของประเทศชนิดใดชนิดหนึ่ง แรงกดดันเหล่านี้มีที่มาจากทั้งภายในและภายนอก ภายในจากบุคลากรภายในพิพิธภัณฑ์ ส่วนภายนอกมากจากสังคมท้องถิ่นและรัฐบาล อย่างไรก็ตาม วิกฤตก็คือโอกาส แม้ว่าการพัฒนาพิพิธภัณฑ์สิทธิมนุษยชนเผชิญกับความท้าทายต่างๆ แต่แรงกดดันสามารถเป็นตัวเร่งในการส่งเสริมกระบวนการดังกล่าวได้เช่นกัน คุณเจ็ทเต้ แซนดาห์ล (Jette Sandahl) ประธานคณะกรรมการงานประชุมพิพิธภัณฑ์ยุโรป (European Museum Forum) ให้แนวทางว่าพิพิธภัณฑ์ควรรับมือกับความท้าทายอย่างไร เธอชี้ให้เห็นว่าก็เพราะพิพิธภัณฑ์กำลังเผชิญกับแรงกดดันและวิกฤตมากมาย ยิ่งต้องสามัคคีเป็นหนึ่งเดียว, ควรพยายามขจัดคติข้อยกเว้นที่มีมาหลายศตวรรษที่ผ่านมา, อย่าใช้แนวความคิดเดิมๆ ควรกล้าที่จะก้าวออกจากคอมฟอร์ทโซน, มองหาพันธมิตรที่จะก้าวไปด้วยกัน, บนเส้นทางแห่งสิทธิมนุษยชนไม่ควรมีคนเป็นข้อยกเว้น บุคลากรของพิพิธภัณฑ์ควรกล้าที่จะต่อต้านการที่หน่วยงานภายในพิพิธภัณฑ์ไร้ความกระตือรือร้นหรือสมรู้ร่วมคิดกับผู้มีอำนาจ พร้อมยืนหยัดด้วยความเชื่อมั่นอันแน่วแน่และใช้พลังส่วนรวมแก้ไขอุปสรรคและความขัดแย้ง ยืนยันที่จะสู้ต่อไป พิพิธภัณฑ์จะแสดงจิตวิญญาณแห่งความสามัคคีออกมาได้อย่างไร ลำดับต่อไป นักวิชาการจากพิพิธภัณฑ์แห่งชาติลิเวอร์พูล(National Museums Liverpool) และมหาวิทยาลัยเลสเตอร์ (University of Leicester) จะยกตัวอย่างในการปฏิบัติจริง พิพิธภัณฑ์ได้ร่วมมือกับวงการอื่นเพื่อจัดทำโครงการปรับปรุงริมทะเล พิพิธภัณฑ์แห่งชาติลิเวอร์พูล(National Museums Liverpool) และมหาวิทยาลัยเลสเตอร์ (University of Leicester) ร่วมกันหารือโครงการปรับปรุงริมทะเล(Waterfront Transformation) โครงการนี้เป็นตัวอย่างการใช้พลังส่วนรวมที่ดีที่สุด การร่วมกันผลักดันพัฒนาชุมชนท้องถิ่นผ่านความร่วมมือและความพยายามในทุกด้าน เพื่อก้าวสู่สังคมที่เท่าเทียมกัน โครงการปรับปรุงริมทะเลมุ่งมั่นที่จะทำให้พิพิธภัณฑ์เชื่อมโยงกับสังคมร่วมสมัย โดยเริ่มจากริมทะเลอันเป็นเอกลักษณ์ของลิเวอร์พูล เชื่อมโยงเรื่องเล่า, มรดก, ชุมชนและการท่องเที่ยวอันเป็นสัญลักษณ์ของลิเวอร์พูล นอกจากการสร้างประสบการณ์ที่หลากหลายให้แก่นักท่องเที่ยว ยังเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาให้เกิดการปรับปรุงชุมชนและสิ่งแวดล้อม นี่ไม่ใช่เพียงแค่โครงการความร่วมมือระหว่างพิพิธภัณฑ์เท่านั้น ยังได้รวบรวมพลังของคนท้องถิ่น ร่วมกันสร้างเมืองริมทะเลแห่งลิเวอร์พูลที่ผสมผสานความเก่าและใหม่เข้าด้วยกัน

2022-09-23

ประวัติผู้เขียนErpan Faryadi ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นผู้จัดการโครงการของเซอร์เคิลเพื่อการประชาสัมพันธ์และวิจัยแห่งเกาะบอร์เนียว (Link-AR Borneo) องค์กรชุมชนซึ่งมีบทบาทด้านการประชาสัมพันธ์ การรณรงค์ ตลอดจนการศึกษาและวิจัยในหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน ทรัพยากรธรรมชาติ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และอำนาจอธิปไตยของประชาชนในกาลิมันตันตะวันตก ประเทศอินโดนีเซีย ข้อมูลเกี่ยวกับ Link-AR Borneo Link-AR Borneo (เซอร์เคิลเพื่อการประชาสัมพันธ์และวิจัยแห่งเกาะบอร์เนียว) คือองค์กรภาคเอกชนเพื่อการพัฒนา (NGO) จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 2 เมษายน พ.ศ.2552 มีวัตถุประสงค์เพื่อดำเนินงานสนับสนุนการจัดการปัญหาในวงกว้างจากการใช้ประโยชน์อุตสาหกรรมเหมืองแร่ ป่าไม้ รวมถึงทรัพยากรธรรมชาติข้างต้นซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอุตสาหกรรมสกัดโดยไร้การควบคุม ทั้งนี้ปัญหาต่างๆ ล้วนเกิดขึ้นจากผลประโยชน์เชิงเศรษฐศาสตร์การเมือง ซึ่งให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อความต้องการจัดหาวัตถุดิบสำหรับอุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่ระดับโลก นั่นหมายความว่า ภาวะดังกล่าวไม่สามารถแยกขาดจากแผ่นดินบอร์เนียวอันอุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรธรรมชาติได้ ด้วยเหตุปัจจัยข้างต้น Link-AR Borneo จึงถือกำเนิดขึ้นเพื่อดำเนินงานประชาสัมพันธ์ตามหลักฐานเชิงประจักษ์ การประชาสัมพันธ์ดังกล่าวถือเป็นเครื่องชี้ชัดการดำเนินงานของ Link-AR Borneo ว่า สอดคล้องกับผลประโยชน์ต่างๆ ของชุมชนและความยุติธรรมทางนิเวศวิทยาที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง นับตั้งแต่ก่อตั้งองค์กรเป็นต้นมา Link-AR Borneo ได้ทุ่มเทความพยายามอย่างยิ่งในด้านต่างๆ เพื่อการรักษาและปกป้องสิทธิมนุษยชน ตลอดจนส่งเสริมการพัฒนาระบบไปจนถึงความเป็นอิสระของชุมชนต่อการจัดการป่าไม้และผืนดินอย่างยั่งยืน บัดนี้ได้เวลาอันสมควรแล้วที่จะประเมินนโยบายและการตอบสนองของรัฐบาลอินโดนีเซียต่อสถานการณ์ระบาดใหญ่ของ COVID-19 รวมถึงผลกระทบของนโยบายข้างต้นต่อประชาชนไปจนถึงการปฏิบัติตามและความเคารพในสิทธิมนุษยชน เมื่อต้นปี พ.ศ.2563 (เดือนมกราคม - มีนาคม พ.ศ.2563) รัฐบาลอินโดนีเซียและเจ้าหน้าที่รัฐมิได้ตอบสนองต่ออุบัติการณ์ COVID-19 อย่างจริงจัง ซ้ำยังประเมินสถานการณ์ต่ำกว่าความเป็นจริงและไม่เชื่อว่ามีอุบัติการณ์ COVID-19 เกิดขึ้น อนึ่ง เมื่อต้นปี พ.ศ.2563 รองประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐอินโดนีเซียกล่าวว่า “ด้วยการสวดภาวนาจากผู้นำศาสนาของเรา COVID-19 จะไม่เกิดขึ้นในอินโดนีเซียอย่างแน่นอน” ส่วนประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐอินโดนีเซียก็ทำให้เกิดความเข้าใจผิดในหมู่ประชาชนด้วยคำกล่าวที่ว่า "ประชาชนชาวอินโดนีเซียจะไม่ติด COVID-19 เพราะพวกเรามียาสมุนไพรดีๆ ดื่ม" เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ.2563 (ดูเนื้อหาเพิ่มเติมได้ที่ CNN อินโดนีเซีย, 16 มีนาคม พ.ศ.2563, “Media Asing Soroti Jokowi Minum Jamu Untuk Tangkal Corona”) การตอบสนองซึ่งไม่เป็นไปตามหลักวิทยาศาสตร์เหล่านี้คือพื้นฐานนโยบายจากรัฐบาลอินโดนีเซียต่อการจัดการสถานการณ์ระบาดใหญ่ของ COVID-19 มาตรการควบคุมสถานการณ์ COVID-19 โดยรัฐบาลอินโดนีเซีย นับตั้งแต่ WHO ประกาศให้สถานการณ์ COVID-19 เป็นการระบาดใหญ่ระดับโลก เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ.2563 รัฐบาลควรเริ่มดำเนินการตามขั้นตอนต่างๆ อย่างเป็นระบบเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดในประเทศอินโดนีเซียด้วยการรับฟังความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อ (นักระบาดวิทยา) อย่างไรก็ตาม แม้ว่าปัญหาหลักคือปัญหาสุขภาพ แต่รัฐบาลกลับรับฟังความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพเพียงน้อยนิดและไม่ให้ความสำคัญในหลายครั้ง ยิ่งไปกว่านั้น ยังพบว่ามีอีกหลายกรณีที่ความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพขัดต่อรัฐบาลอีกด้วย ทั้งนี้นับตั้งแต่เดือนเมษายน พ.ศ.2563 รัฐบาลอินโดนีเซียได้มอบหมายให้กองกำลังติดอาวุธแห่งชาติอินโดนีเซีย (Indonesian National Armed Forces, TNI) และตำรวจ ล็อกดาวน์ประชาชนไว้ในบ้าน[1] จำกัดการประกอบกิจกรรมทางศาสนา จำกัดการเดินทางของประชาชน ทั้งยังห้ามมิให้ประท้วงและวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาล ซึ่งการตัดสินใจดังกล่าวอาจนำไปสู่การละเมิดสิทธิมนุษยชนต่างๆ โดยเฉพาะสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ภายหลังจากประกาศข้างต้นที่กำหนดให้การระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาเป็นสถานการณ์ระบาดใหญ่ระดับโลก รัฐบาลอินโดนีเซียได้ดำเนินมาตรการควบคุมต่างๆ แต่ไม่มี 'คำสั่งในระดับชาติ' ทั้งนี้ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขให้ความเห็นว่า มาตรการต่างๆ ของ Jokowi นั้น "เชื่องช้า" และไม่เพียงพอต่อการรักษาความสงบในหมู่ประชาชน (ดูเนื้อหาเพิ่มเติมได้ที่ BBC News อินโดนีเซีย, 16 มีนาคม พ.ศ.2563, “Virus corona: Jokowi umumkan langkah pengendalian Covid-19, tapi tanpa komando nasional”) นอกจากนี้ รัฐบาลยังนำเสนอข้อกำหนดและนโยบายใหม่เพื่อควบคุมสถานการณ์ระบาดใหญ่ของ COVID-19 ทุกเดือน ทว่าไร้ซึ่งนัยสำคัญต่อการป้องกันการแพร่ระบาดของ COVID-19 ในประเทศอินโดนีเซีย นั่นแสดงให้เห็นถึงความตื่นตระหนกและขาดทิศทางในการดำเนินนโยบายอย่างเป็นระบบจากรัฐบาลเพื่อแก้ไขสถานการณ์อันเนื่องมาจากโรคร้ายแรงชนิดนี้ในทุกระดับ เจ้าหน้าที่รัฐ ยกตัวอย่างเช่น Juliari Batubara รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกิจการสังคม ก็กระทำทุจริตต่อโครงการช่วยเหลือสังคม (bansos) ในส่วนอาหารขั้นพื้นฐานเพื่อบุคคลยากไร้ อันเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการควบคุมสถานการณ์ COVID-19 เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ.2563[2] และนี่คือหนึ่งในการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐชาวอินโดนีเซียอันน่าละอายอย่างยิ่ง ท่ามกลางความยากลำบากของประชาชนผู้ต้องฝ่าฟันต่อความกดดันต่างๆ จากสถานการณ์ COVID-19 ทั้งนี้ด้วยจำนวนผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตจาก COVID-19 ที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากสถานการณ์ระบาดใหญ่ ส่งผลให้รัฐบาลอินโดนีเซียควบคุมสถานการณ์ต่างๆ ได้ยากลำบากยิ่งขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น ในขณะที่รัฐบาลควรมอบหลักประกันสิทธิด้านสุขภาพแก่ประชาชนอันเป็นหนึ่งในสิทธิมนุษยชน รวมถึงจัดให้มีอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลสำหรับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขผู้ปฏิบัติงานด่านหน้าอย่างเพียงพอ เพื่อต่อต้านวิกฤติร้ายแรงจากสถานการณ์ระบาดใหญ่ของโควิด-19 แต่ดูเหมือนว่า รัฐบาลจะไร้ประโยชน์ใดๆ นอกจากรายงานจำนวนผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตจาก COVID-19 ที่เพิ่มขึ้นในทุกวัน นับตั้งแต่กลางเดือนมิถุนายน พ.ศ.2564 ผลกระทบจากสถานการณ์ COVID-19 ต่อประชาชนชาวอินโดนีเซีย นับตั้งแต่เดือนเมษายน พ.ศ.2563 รัฐบาลอินโดนีเซียได้ออกนโยบายจำกัดกิจกรรมทางสังคมขนาดใหญ่ (PSBB) ด้วยวัตถุประสงค์มุ่งทำลายห่วงโซ่การแพร่ระบาดของ COVID-19 ทว่านโยบายนี้กลับล้มเหลว ไม่ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายทั่วไปสองข้อที่ WHO กำหนดให้ใช้ควบคุมสถานการณ์ COVID-19 นั่นคือ การลดอัตราแพร่ระบาดและเสียชีวิต ต่อมาในเดือนกรกฎาคม พ.ศ.2564 โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือสถานการณ์ระบาดใหญ่ของ COVID-19 ในประเทศอินโดนีเซียนั้น ทวีความร้ายแรงยิ่งขึ้นเพราะความลังเลของรัฐบาลในการเลือกระหว่างสุขภาพของประชาชนกับการเติบโตทางเศรษฐกิจ ตลอดเดือนกรกฎาคม พ.ศ.2564 รัฐบาลอินโดนีเซียได้บังคับใช้มาตรการจำกัดกิจกรรมในชุมชนสำหรับสถานการณ์ฉุกเฉิน (PPKM) บริเวณเกาะชวาและเกาะบาหลี โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 3 – 20 กรกฎาคม พ.ศ.2564 ด้วยความมุ่งหวังว่า การบังคับใช้มาตรการฉุกเฉิน PPKM บริเวณเกาะชวาและเกาะบาหลี จะระงับการแพร่ระบาดอย่างไม่หยุดยั้งของ COVID-19 และลดจำนวนผู้เสียชีวิตจากสถานการณ์ระบาดใหญ่ครั้งนี้ได้ ส่วนพื้นที่นอกเกาะชวาและเกาะบาหลี รัฐบาลได้บังคับใช้มาตรการ PPKM Micro Darurat (มาตรการจำกัดกิจกรรมในชุมชนระดับจุลภาค ยกตัวอย่างเช่น ท้องถิ่นระดับ regency และ sub-districts) อย่างไรก็ตามนโยบายทั้งหมดของรัฐบาลแทบไม่มีผลใดๆ ต่อการบรรเทาสถานการณ์ COVID-19 ทว่าในทางกลับกัน อัตราแพร่ระบาดและเสียชีวิตจาก COVID-19 ในประเทศอินโดนีเซียยิ่งสูงขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง บทบาทขององค์กรภาคประชาสังคมต่อสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศอินโดนีเซีย องค์กรภาคประชาสังคม (CSO) ในประเทศอินโดนีเซีย ถือเป็นองค์กรที่ปฏิบัติงานอย่างแข็งขันมาตั้งแต่ยุคปฏิรูปหรือยุคหลังเผด็จการ องค์กรข้างต้นหลายแห่งในประเทศอินโดนีเซียมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่องานด้านสิทธิมนุษยชน การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สุขภาพ การปฏิรูปกฎหมาย อธิปไตยทางอาหาร สิทธิต่างๆ ในที่ดินตลอดจนการปฏิรูป ปัญหาชาวนาและแรงงาน รวมถึงงานด้านอื่นๆ อีกมากมาย ทั้งนี้องค์กรภาคประชาสังคมในประเทศอินโดนีเซียยังสามารถดึงดูดกลุ่มต่างๆ รวมถึงบุคคลจำนวนมากให้เข้าร่วมการดำเนินงานและการรณรงค์ต่างๆ ขององค์กร ไม่ว่าจะเป็นแพทย์ ทนายความ ผู้เชี่ยวชาญด้านการเกษตร ไปจนถึงบุคลากรด้านอื่นๆ นั่นทำให้องค์กรภาคประชาสังคมทวีความน่าเชื่อถือและเพิ่มพูนประสบการณ์ในสาขาของตนยิ่งขึ้น หากกล่าวตามความเป็นจริง องค์กรภาคประชาสังคมในประเทศอินโดนีเซียนั้นมีส่วนสนับสนุนกระบวนการต่างๆ ทางประชาธิปไตยภายในประเทศเป็นอย่างมาก นับตั้งแต่ยุคหลังเผด็จการเป็นต้นมา (ภายหลังปี พ.ศ.2541) องค์กรภาคประชาสังคมในประเทศอินโดนีเซียที่ให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อการควบคุมสถานการณ์ COVID-19 ได้แก่ แนวร่วมพลเมืองรายงานสถานการณ์ COVID-19 ทั้งนี้แนวร่วมพลเมือง LaporCovid-19 หรือ LaporCovid-19 ก่อตั้งขึ้นโดยกลุ่มบุคคลผู้ตระหนักถึงปัญหาสิทธิมนุษยชนพลเมืองและปัญหาด้านสาธารณสุขอันเกี่ยวเนื่องจากสถานการณ์ระบาดใหญ่ของ COVID-19 เมื่อต้นเดือนมีนาคม พ.ศ.2563 ภายหลังตรวจพบการแพร่ระบาดของ COVID-19 อย่างเป็นทางการ LaporCovid-19 เป็นผู้สร้างแพลตฟอร์มสำหรับรายงานข้อมูลโดยพลเมือง เพื่อใช้เป็นแหล่งแบ่งปันข้อมูลอุบัติการณ์เกี่ยวกับ COVID-19 ที่ค้นพบโดยบุคคลทั่วไปผู้ไม่สามารถเข้าถึงความช่วยเหลือจากรัฐบาล ด้วยการเลือกใช้กระบวนการ crowdsourcing ซึ่งอาศัยการมีส่วนร่วมจากประชาชนในการบันทึกค่าต่างๆ ตลอดจนรายงานปัญหาที่สืบเนื่องจากสถานการณ์ COVID-19 โดยรอบบริเวณใกล้เคียง เป็นเสมือนสะพานบันทึกข้อมูลสถิติต่างๆ ท่ามกลางสถานการณ์ COVID-19 ภายในประเทศ ทำให้ LaporCovid-19 คือพื้นที่รวบรวมข้อมูลการแพร่ระบาดและความร้ายแรงของสถานการณ์ COVID-19 สำหรับรัฐบาลและประชาชนทั่วไปในประเทศอินโดนีเซียอย่างแท้จริง อนึ่ง ข้อมูลที่รวบรวมได้ผ่านช่องทางของ LaporCovid-19 จะป้อนเข้าสู่รัฐบาลเพื่อกำหนดนโยบายและขั้นตอนต่างๆ ในการควบคุมสถานการณ์ COVID-19 โดยอ้างอิงตามข้อมูลภาคสนามต่อไป LaporCovid-19 ประกอบด้วย องค์กรภาคประชาสังคมต่างๆ ในประเทศอินโดนีเซีย ได้แก่ YLBHI, Tempo magazine, Efek Rumah Kaca, Transparency International Indonesia, Lokataru, Hakasasi.id, U-Inspire, STH Jentera, NarasiTV, Rujak Center for Urban Studies และ Indonesia Corruption Watch ทั้งนี้ YLBHI คือกลุ่มสิทธิมนุษยชนที่ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ.2513 เพื่อดำเนินงานติดตามพันธกรณีสิทธิมนุษยชนของรัฐบาลอินโดนีเซียอย่างต่อเนื่อง ส่วน Tempo magazine นั้นเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม Tempo ซึ่งเน้นการดำเนินงานเรื่องสิทธิมนุษยชน สิ่งแวดล้อม และการทุจริตคอร์รัปชัน ความวุ่นวายในการควบคุมสถานการณ์ COVID-19 ได้รับการเน้นย้ำโดยแนวร่วมภาคประชาสังคมอันประกอบด้วย LaporCovid-19, ICW, YLBHI, LP3ES และ Lokataru แนวร่วมดังกล่าวประเมินว่า รัฐบาลของ Jokowi ล้มเหลวต่อการควบคุมสถานการณ์ระบาดใหญ่ซึ่งประเทศอินโดนีเซียเผชิญ นับตั้งแต่ต้นเดือนมีนาคม พ.ศ.2563 ส่วน LaporCovid-19 วิจารณ์ว่า รัฐบาลล้มเหลวต่อการป้องกันอัตราการเสียชีวิตที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากปัญหาต่างๆ ในการควบคุมสถานการณ์ COVID-19 ทั้งนี้จากการรวบรวมข้อมูลของ LaporCovid-19 ยอดผู้เสียชีวิตอาจลดลงได้ตั้งแต่เริ่มต้น หากรัฐบาลดำเนินมาตรการป้องกันและควบคุมสถานการณ์อย่างรวดเร็วและจริงจัง ดูเนื้อหาเพิ่มเติมได้จากบทความ "Kasus Meninggal Melonjak & RS Kolaps, Negara Gagal Tangani COVID?", Tirto.id, 6 กรกฎาคม พ.ศ.2564, https://tirto.id/ght5 แม้ว่ารัฐบาลจะจัดสรรงบประมาณถึง 695.2 ล้านล้านรูเปียห์อินโดนีเซีย เพื่อดำเนินกลยุทธ์ด้านการควบคุมสถานการณ์ COVID-19 ในปี พ.ศ.2563 ก็ตาม (ดูเนื้อหาเพิ่มเติมได้ที่ Kompas, 20 ธันวาคม พ.ศ.2563, “Kebijakan Pemerintah Menangani Covid-19 Sepanjang Semester II 2020”)